วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทุกข์ของชาวนาในบทกวี(งานภาษาไทย)

เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจินต์
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน


ผู้แต่ง : สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ที่มา : หนังสือ มณีพลอยร้อยแสง หมวด ชวนคิดพิจิตรภาษา
จุดมุ่งหมาย : แสดงให้เห็นถึงทุกข์ของชาวนา โดยผ่านบทกวี
ลักษณะคำประพันธ์ : ความเรียง โดยใช้บรรยาโวหาร - สาธกโวหาร (ยกตัวอย่างบทกวี)
บทกวีของ จิตร ภูมิศักดิ์
แทนตนเองว่าเป็นชาวนา ที่เรียกร้องความเสมอภาค และแสดงถึงความยากลำบาก แสนสาหัส ในการทำนา ปลูกข้าว ให้ทุกคนกิน
ความช่วยเหลือที่สังคมมีต่อชาวนาในด้านปัจจัยการผลิต การพยุงหรือประกันราคา การรักษาความยุติธรรมก็แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้ชาวนาต่างก็ละทิ้งอาชีพเกษตรกรรม ไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ แต่ก็ยังมีชาวนาอีกจำนวนหนึ่ง ที่จะขยับขยายตัวเองให่อยู่ในสถานะดีขึ้น ด้วยการปลูกข้าวให้คนอื่นกินต่อไป




หว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ข้าวเมล็ดหนึ่ง
จะกลายเป็นหมื่นเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วง
รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง
แต่ชาวนาก็ยังอดตาย
ตอนอาทิตย์เที่ยงวัน ชาวนายังพรวนดิน
เหงื่อหยดบนดินภายใต้ต้นข้าว
ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น
ข้าวแต่ละเม็ดคือความยากแค้นแสนสาหัส



บทกวีของ หลี่เชิน
บรรยายภาพอย่างเรียบง่าย แต่แสดงความขัดแย้ง ชาวนาที่ปลูกข้าวมากมาย จนไม่มีที่นาว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย มีการใช้โวหารปฏิพากย์ คือ แสดงความขัดแย้ง เช่น รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย แม้ว่าสภาพบ้านเมืองในเวลานี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างมากนัก เรื่องความทุกข์ของชาวนายังคงเป็นแรงสร้างความสะเทือนใจต่อไป



ขอบคุณที่มา http://elibrary.eduzones.com/index.php?title=%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B5



วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อาการปวดหัว

อาการปวดหัวนั้น ไม่จำเป็นที่คุณต้องพึ่งยาเสมอไป ลองมาบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติดูก่อนดีไหมค่ะ

1. บำบัดด้วยน้ำวางถุงน้ำแข็งบนหน้าผาก หรือจะใช้ผ้าเย็น ๆ โพกศีรษะก็ได้ค่ะทำไปพร้อมกับการแช่เท้าในน้ำอุ่น ค่อย ๆเพิ่มความร้อนของน้ำขึ้น ใช้เวลา 15-20 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลงค่ะ
2. งดอาหารอาหารแสลงบางชนิด เช่น เนื้อรมควัน ชอคโกแล็ค ผงชูรส ไส้กรอก เบคอน และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มักเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหัวได้
3. ใช้วิตามินการขาดวิตามิน B- COMPLEX อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ลองมองหาอาหารที่มี วิตามินบีมาก ๆ เช่น ผักโขม กะหล่ำปลีข้าวซ้อมมือ และอาหารธัญพืชต่าง ๆ
4. ขิงมีงานวิจัยพบว่า ขิงมีคุณสมบัติในการแก้ไมเกรน หากมีอาการปวดหัวในช่วงบ่าย ๆ ลองจิบน้ำขิงอุ่น ๆ สักแก้ว ถ้าไม่สะดวกจะต้มเอง ขืงผงบรรจุซอง ก็สะดวกดีค่ะ
5. น้ำมันหอมน้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการลดความกระวนกระวายใจได้ ลองนำมานวดบริเวณขมับ ไรผม และต้นคอ จะช่วยผ่อนคลายได้
6. นวดการนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ หาใครสักคนมาคอยนวดที่ต้นคอและช่วงไหล่หรือจะนวดเองก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดค่ะ
7. ไปเดินเล่นสักห้านาทีการเดินเล่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินส์ ซึ่งเป็นยาแก้ปวดขนานเอก
8. ดนตรีบำบัดถ้าคุณปวดหัวจากความเครียด ในทางการแพทย์ค้นพบว่า ดนตรีช่วยบำบัด อาการได้ โดยเฉพาะดนตรีทีมีท่วงทำนองเรียบง่ายฟังสบาย ๆ อาจมีสรรพเสียง ของธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้องเกลียวคลื่น เสียงนก หรือลมฝน จะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบนิ่งขึ้นช่วยลดความตึงเครียดได้
เป็นวิธีแก้อาการปวดหัว แบบธรรมชาตกันจริงๆ ใครชอบแบบไหนก็ลองทำดูนะคะ รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ถ้าทำทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ก็ก็ถึงเวลาที่คุณควรไปพบแพทย์แล้วล่ะค่ะ

ที่มา http://www.expert2you.com/view_article.php?art_id=870

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ที่มาของสีประจำวันเกิด

ส่วนใหญ่คนไทยมีความเชื่อเรื่องสีประจำวันเกิดว่าเป็นสีมงคล วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีความรู้เรื่องนี้มาฝากกัน... คนไทยส่วนมากเชื่อว่าสีประจำวันเกิดเป็นสีมงคลประจำตัว และมักจะใช้เสื้อผ้าและเครื่องใช้ตามสีประจำวันเกิด ความเชื่อเช่นนี้ได้รับอิทธิพลจากอินเดียเพราะชาวอินเดียเชื่อว่าพระอิศวรเป็นผู้สร้างเทพเจ้าประจำวันขึ้นมา และสีประจำวันนั้นมาจากสีกายของเทพเจ้า ซึ่งมีที่มาดังต่อไปนี้
พระอาทิตย์มีกายสีแดง เกิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทให้ราชสีห์ ๖ ตัว กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง ประพรมด้วยน้ำอมฤต
พระจันทร์มีกายสีเหลือง เกิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทให้นางฟ้า ๑๕ นาง กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีเหลือง ประพรมด้วยน้ำอมฤต
พระอังคารมีกายสีชมพู เกิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทให้กระบือ ๘ ตัว กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีชมพู ประพรมด้วยน้ำอมฤต
พระพุธมีกายสีเขียว เกิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทให้ช้าง ๑๗ ตัว กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีเขียว ประพรมด้วยน้ำอมฤต
พระพฤหัสบดีมีกายสีแสด เกิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทให้พระฤๅษี ๑๙ ตน กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีแสด ประพรมด้วยน้ำอมฤต
พระศุกร์มีกายสีน้ำเงิน เกิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทให้โค ๒๑ ตัว กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีน้ำเงิน ประพรมด้วยน้ำอมฤต
พระเสาร์มีกายสีดำ เกิดจากพระอิศวรร่ายพระเวทให้เสือ ๑๐ ตัว กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีดำ ประพรมด้วยน้ำอมฤต
ตอนนี้ก็คงจะทราบกันแล้วว่า สีประจำวันเกิดตัวเองมีที่มาอย่างไร

ที่มา http://hilight.kapook.com/view/30524

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โรควุ้นลูกตาเสื่อม

เมื่อเร็วๆ นี้ มีอี-เมลลูกโซ่แจ้งเตือนบรรดาผู้ที่นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ระบุว่า ขณะนี้มีคนไทยป่วยเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมถึง 14 ล้านคน และบอกว่า สาเหตุของโรคนี้เกิดจากการใช้สายตามากเกินไปจากการใช้คอมพิวเตอร์ ทั้งจากการก้มเงยมองจอและแป้นพิมพ์ การใช้เม้าส์เลื่อนบรรทัด การปรับแสงหน้าจอที่สว่างจ้าเกินไป ฯลฯ ซึ่งหากเป็นมากกว่านั้น อาจถึงขั้นประสาทตาฉีกขาดได้ สำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไรรศ.นพ.วิชัย ประสาทฤทธา หัวหน้าหน่วยจอประสาทตา ภาควิชาจักษุวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงโรควุ้นลูกตาเสื่อมว่า โรคนี้เกิดจากน้ำวุ้นตาบริเวณหลังเลนส์ตาเสื่อม ทำให้น้ำวุ้นตาไม่ใสเหมือนปกติ จนส่งผลให้เหมือนมีคราบดำๆ ลอยไปลอยมาที่ดวงตา แต่อาการดังกล่าว ไม่อันตรายจนถึงขั้นตาบอด แค่อาจทำให้เกิดความรำคาญเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องกังวลคือ โรคนี้หากเกิดอาการของจอประสาทตาเสื่อมร่วมด้วย ก็จำเป็นต้องรักษา เพราะอาจส่งผลต่อการมองเห็นได้ รศ.นพ.วิชัยกล่าวอีกว่า โรควุ้นลูกตาเสื่อมเกิดจากความเสื่อมตามธรรมชาติ ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้สายตาจ้องมองคอมพิวเตอร์นานๆ แต่จะเกี่ยวข้องกับความเสื่อมตามอายุ โดยพบมากในอายุ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งในผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นมากๆ เนื่องจากจะทำให้เส้นเลือดตาขยายใหญ่ขึ้นจนก่อให้เกิดความเสื่อมนั่นเอง นอกจากนี้ ยังพบในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดโรคความเสื่อมที่ลูกตาได้

ที่มา http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1281427

ทำไม ? ต้องขอโทษ..และทำไม ? ต้องให้อภัย...

การให้อภัย..เป็นธรรมะขั้นสูง..เพราะเป็นการสละอารมณ์ คือ มะเร็งร้าย>>>...ออกจากจิตใจได้เป็นอย่างดี..>>>...ยิ่งให้อภัยมากเท่าไร..>>>...ใจของเราก็ยิ่งเบาสบายมากขึ้นเท่านั้น.คนที่ไม่เคยให้อภัยใครเลย..คือ..คนโง่ที่สุด..>>>...เพราะในใจของเขาสะสมแต่อารมณ์โกรธไว้ในจิตใจ..>>>...และอารมณ์โกรธนี้ก็จะเผาไหม้จิตใจของเขาเอง..เป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา>>>...โรคมะเร็งร้ายทางอารมณ์>>>...โรคมะเร็งร้ายทางจิตใจ>>>...ที่ยากแก่การรักษาได้..นอกจากทำใจให้อภัยเท่านั้นจึงจะรักษาอารมณ์ร้าย ๆ นั้นได้..
การขอโทษก็เป็นธรรมะขั้นสูงอีกอย่าหนึ่งเช่นกัน..เพราะไม่มีใครที่จะไม่ยอมยกโทษให้กับผู้ที่ผิดแล้ว>>>...กล่าว "คำขอโทษ"..
คนที่ไม่เคยยอมให้อภัยใคร..>>>...ก็คือ..คนที่ไม่เคยขอโทษใคร..ถ้าเราไม่รู้จักขอโทษและไม่รู้จักที่จะให้อภัยใคร>>>....ในใจของเราก็จะสะสมหรือเต็มไปด้วยอารมณ์ร้ายต่าง ๆ>>>....โดยเฉพาะอารมณ์โกรธที่จะคอยเผาไหม้ลนจิตใจเรา..ถ้าเราไม่รู้จักขอโทษและไม่รู้จักที่จะให้อภัยใคร>>>....ในใจของเราก็จะสะสมหรือเต็มไปด้วยอารมณ์ร้ายต่าง ๆ>>>....โดยเฉพาะอารมณ์โกรธที่จะคอยเผาไหม้ลนจิตใจเรา..จงรู้จักขอโทษ และยอมให้อภัยเพราะยิ่งให้อภัยมากเท่าไร...ยิ่งเบาสบาย..>>>...ขอโทษ ...(สบายใจ)..>>>...ให้อภัย....(สบายจิต)...ทั้งขอโทษและให้อภัย..จะสบายทั้งกายและสบายทั้งจิต..
ที่มา http://planet.kapook.com/chaynoi3/blog/viewnew/104800